Tuesday, May 5, 2015


5 ข้อที่กำหนดอนาคตของชีวิตคุ



ทุกคนย่อมคาดหวังว่าอนาคตข้างหน้าจะมีชีวิตที่ดี ชีวิตที่สดใส ชีวิตที่มั่งคั่ง เราสามารถออกแบบชีวิตของตัวเราได้เอง เราอยากมีชีวิตแบบไหนภายในกรอบเวลาอีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า แต่ในชีวิตจริงพบว่ามีตัวแปรมากมายที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเรา และส่งผลต่อการตัดสินใจต่างๆ ที่จะประกอบร่างเป็นตัวเราในวันข้างหน้า

ต่อไปนี้คือ 5 ข้อที่กำหนดว่าชีวิตจะนำพาตัวเราไปทิศทางไหนในอนาคต



1. ทัศนคติ 

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนเรามากที่สุด นั่นย่อมเป็นกรอบความคิดที่เรามีต่อตนเอง ตลอดจนวิธีการที่เรามองโลกและสังคมรอบข้าง ทัศนคติจะส่งผลโดยตรงต่อวิธีที่เราเลือกปฏิบัติ ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน เมื่อไหร่ที่ปรับทัศนคติได้ นั่นหมายถึงเราควบคุมทิศทางเดินของชีวิตได้ ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาด เราต้องให้อภัยตัวเองให้ไวที่สุด แล้วเก็บเรื่องราวต่างๆเป็นบทเรียน อีกทั้งเรียนรู้ที่จะให้อภัยคนรอบข้างที่เคยสร้างบาดแผลในใจเรา หากทำได้เช่นนี้ ชีวิตเราจะปลดล็อกจากพันธนาการที่คุมขัง และเป็นเราคนใหม่อย่างแท้จริง
   

2. หนังสือที่อ่าน

นอกจากตำราในสายงานแล้ว หนังสือแนวไหนที่เราหยิบขึ้นมาอ่านบ่อยที่สุดนั่นแหละ ย่อมมีอิทธิพลต่อตัวเรามากที่สุด ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้ หนังสือแนว how to และจิตวิทยาการพัฒนาตนเอง มักจะขายดีติดอันดับตลอดเวลา สิ่งนี้ย่อมสื่อให้เห็นว่าทุกคนอยากพัฒนาตัวเอง ทุกคนอยากมีอนาคตที่ดี ทุกคนมุ่งหาวิธีการและหนทางไปสู่จุดนั้น ข้อนี้ยังอาจนับรวมไปถึงสื่อทุกประเภทที่เรารับในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์หรือวิทยุ ล้วนมีผลหล่อหลอมตัวเราไม่มากก็น้อย ดังนั้น หากเราใฝ่ฝันจะมีอนาคตที่ก้าวหน้า จงหยุดรับสื่อประเภทที่ทำให้ระดับจิตใจตกต่ำเสียตั้งแต่วันนี้ และหมั่นตักเติมอาหารสมองที่มีคุณภาพให้ตัวเอง
    

3. เพื่อนที่คบ 

อีกหนึ่งสิ่งที่มีผลต่อตัวเราชัดเจนมาก คือ เพื่อนร่วมทางในแต่ละช่วงชีวิต มิตรสหายที่แนะนำเรื่องราวต่างๆเล่าสู่กัน และชักจูงกันไปทำกิจกรรมต่างๆที่สร้างสรรค์ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องอยู่ในวัยเดียวกันกับเรา แต่เป็นผู้คนทุกเพศทุกวัยที่เราคบหาสมาคม เมื่อเราเติบโตขึ้นจนก้าวผ่านจากวัยเรียนเข้าสู่วัยทำงาน เรามีตัวเลือกมากขึ้นว่ามิตรสหายแบบไหน ที่เราอยากมีพวกเขาไว้เป็นกระจกสะท้อน ช่วยให้คำปรึกษาและตักเตือนในเรื่องราวต่างๆ จงเก็บรักษามิตรสหายเก่าๆเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวเราได้พบเจอมิตรสหายใหม่ๆ ซึ่งคุณรู้ได้เองว่าจะสามารถพบเจอคนแบบไหนได้จากสถานที่แห่งใด จงหมั่นนำพาตัวเราเข้าไปสู่สถานที่แห่งนั้น
     

4. สังคมที่อยู่

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งแวดล้อมรอบข้างมีผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะในด้านจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งส่งอิทธิพลต่อเนื่องมายังการแสดงออกของคนเรา เป็นเรื่องยากที่เราจะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสังคมรอบข้าง แต่ก็เป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไป ที่เราจะหลีกเลี่ยง เอาตัวออกห่างจากจุดที่ทำให้สุขภาพจิตมัวหมอง สิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมนำพาตัวเราไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
   

5. งานที่ทำ

ความภาคภูมิใจในงาน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของคนเรา คุณภาพของคนจะถูกตัดสินด้วยคุณภาพของงาน ให้เราตามหางานที่ใช่ งานที่ทำแล้วมีความสุข งานที่สร้างคุณค่า งานที่เราภูมิใจ หากยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันใช่หรือเปล่า ให้ใส่คุณค่าลงไปในงาน การทำงานด้วยความทุ่มเท จะเปิดประตูให้เราก้าวไปสู่โอกาส คุณค่าของงานจะนำพาให้สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิต


จัดวางทั้ง 5 เรื่องตั้งแต่ตอนนี้ คุณจะมีอนาคตที่สดใสรอคอยอยู่เบื้องหน้า






5 ข้อที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย



เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต และวางแผนเพื่อจะนำพาตัวเราไปสู่จุดหมายนั้น แต่ทว่าในชีวิตจริง เส้นทางที่ต้องฝ่าฟันไปให้ถึงเป้าหมายนั้น อาจจะแตกต่างไปจากแผนเดิมที่เคยคาดไว้ 

มันเป็นความจริงของชีวิต ที่จะต้องมีอุปสรรคและแบบทดสอบต่างๆ มาคอยท้าทายพลังใจของเราอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเราอาจจะรู้สึกท้อแท้หมดเรี่ยวแรง จนถึงขั้นหลงลืมเป้าหมาย หรือลดระดับความฝันลง แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า เมื่อเราจริงใจและจริงจังต่อเป้าหมาย ชีวิตก็จะนำพาเราให้ก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างไปได้ในที่สุด

ต่อไปนี้คือ 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณฝ่าฟันจนบรรลุสู่เป้าหมายต่างๆในชีวิต



1. Begin with the end in mind. 

ฝังภาพความสำเร็จให้ชัดเจนในหัวสมองตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งคำถามและตอบตัวเองให้ชัดเจนและจริงใจที่สุด อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเราในอีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า เบื้องต้นมันอาจจะยังเลือนลาง แต่ขอเพียงแค่เราอย่าหลงลืมภาพของความสำเร็จนั้น เชื่อเถอะว่าภาพนั้นมันจะค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นความจริงในที่สุด ตราบเท่าที่เรายังไม่หยุดเดิน
  

2. Keep yourself motivated. 

ค้นหาและตอบตัวเองให้ได้ว่า อะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้เราอยากจะไปให้ถึงจุดหมายนั้น สิ่งสำคัญหลังจากนี้คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะรักษาแรงบันดาลใจเหล่านั้นไว้ให้อยู่กับตัวเราตลอดเวลา ต่างคนก็คงมีวิธีเติมเชื้อไฟให้ตัวเองที่แตกต่างกัน ทำความเข้าใจธรรมชาติของตัวเองตรงจุดนี้ หมั่นตรวจสอบเชื้อไฟ และต้องรู้ว่าใครที่จะสามารถเติมน้ำมันเผาไหม้ให้เราได้ในยามที่อ่อนแรง
  

3. Stay energetic and enthusiastic. 

เมื่อรักษาระดับแรงจูงใจได้แล้ว ก็ต้องรีบลงมือทำในตอนที่เราเครื่องร้อนมีกำลังสูงสุด เหมือนตีเหล็กตอนร้อนจัด อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ทุ่มเทลงไปให้สุดตัว เป้าหมายส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา ขอเพียงลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ ตัวเราจะขยับเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆในทุกวัน คอยหมั่นตรวจสอบตัวเองกับระยะห่างจากเป้าหมาย และไม่ลืมที่จะรักษาระดับพลังงานและแรงกระตุ้นให้เครื่องร้อนจัดอยู่เสมอ
  

4. Celebrate the little things. 

ฉลองความสำเร็จเล็กๆน้อยๆระหว่างทางอยู่เสมอ คอยให้รางวัลตัวเราเองเมื่อบรรลุเป้าหมายย่อยในแต่ละระดับ เราอาจจะกำหนดแผนงานรายสัปดาห์หรือรายเดือน เมื่อเราทำให้ตามแผนนั้น ก็ต้องไม่ลืมที่จะให้รางวัลกับตัวเอง เช่น ไปกินอาหารในร้านที่ชอบ ไปเที่ยวพักผ่อนต่างประเทศ หรือ ไปช็อปปิ้งซื้อของให้ตัวเอง เป็นต้น จุดนี้จะทำจิตใต้สำนึกเชื่องและคุ้นชินต่อความสำเร็จ หมั่นรักษาพลังใจด้วยวิธีนี้ เราจะมีแรงฝ่าฟันเดินทางต่อไปยังจุดหมายอื่นที่อยู่ไกลออกไป
  

5. Success is a journey, not a destination. 

บางทีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่ที่ปลายทางสุดท้าย ทันทีที่เราเริ่มต้นก้าวเท้าออกเดินตามความฝัน นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินพอดี ทุกคนสามารถไปถึงจุดหมายได้ในที่สุดโดยไม่ช้าก็เร็ว แต่สำคัญที่ใครจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางได้มากกว่ากัน ลองออกนอกลู่นอกทางดูบ้าง ลองแวะพักชื่นชมความสวยงามข้างทางเป็นระยะๆ ผู้คนแปลกหน้าที่พบเจอระหว่างทางอาจกลายเป็นมิตรสหายที่ดีต่อไปในระยะยาว ทางแยกที่พบเจอระหว่างที่เดินทาง อาจนำพาให้เราไปพบเจอประสบการณ์อะไรแปลกใหม่ และนั่นอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปเลยหลังจากนั้น





5 ข้อที่ทำให้ชีวิตคุณเปล่งประกาย 



1. Serendipity ความสามารถในการพบเจอโชคดีโดยบังเอิญ 


โชคในที่นี้อาจเป็นได้ทั้งการพบปะผู้คน เหตุการณ์ หรือโอกาสที่ส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การทำให้ความบังเอิญกลายเป็นความโชคดีนั้น แท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ (1) การลงมือทำ เราจำเป็นต้องลงมือทำอะไรบางอย่างก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้ชีวิต (2) การสังเกตเห็น เราต้องหมั่นสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเป็นการยกระดับความคิด และตั้งคำถามต่อโลกหรือสิ่งที่พบเจอ และ (3) การเปิดใจรับ เราต้องอย่าเพิ่งเริ่มปฏิเสธเวลาที่พบกับอุปสรรคที่ไม่คาดหวัง เพราะมันอาจจะนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ไม่คาดฝัน


2. Creativity ความคิดสร้างสรรค์ 


ความคิดสร้างสรรค์สามารถฝึกฝนกันได้ ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเอง สังเกตสิ่งรอบข้างในมุมกลับ ทดลองทำสิ่งที่ไม่ถนัด เปลี่ยนแบบแผนชีวิตประจำวันให้หลุดจากกรอบเดิม ๆ ดูบ้าง เปิดใจให้กับการเรียนรู้ศาสตร์และศิลปะแขนงอื่น ๆ ที่เราไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เราอาจพบว่าความรู้ความเข้าใจจากเรื่องหนึ่ง สามารถมาเติมเต็มให้กับอีกเรื่องหนึ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ


3. Optimistic View การมองโลกในแง่ดี 


ทุกครั้งที่ชีวิตประสบกับเรื่องวุ่นวายให้ร้อนใจ ให้ปรับทัศนคติของตัวเราเองต่อเหตุการณ์นั้นว่า "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ" นี่เป็นเพียงแค่ขวากหนามเล็ก ๆ ที่เราต้องก้าวข้ามไป สุดท้ายแล้วเราจะเติบโตขึ้น เมื่อข้ามผ่านบททดสอบเหล่านั้นไปได้ ในทำนองเดียวกัน ทุกครั้งที่ชีวิตพลาดโอกาสอะไรไป ให้บอกกับตัวเองว่า "เราพลาดสิ่งนี้ไป เพราะทางข้างหน้ามีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่" จงเชื่ออย่างสนิทใจว่าชีวิตจะนำพาเราไปสู่จุดที่ดีกว่าและคู่ควรกับเรามากกว่าเดิมเสมอ


4. Dynamic Range ความสามารถในการรับรู้ข่าวสารในขอบเขตที่กว้าง


เปิดตัวเองให้ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ดูบ้าง เช่น อ่านหนังสือตำราที่อยู่นอกสาขาวิชาที่เรียนอยู่ ทดลองไปเข้าคอร์สอบรมหรือสัมมนาในเรื่องที่อยู่นอกสายงาน ออกไปพบเจอและพูดคุยกับผู้คนต่างอาชีพ เป็นต้น เมื่อเราขยายความสามารถตรงนี้ออกไปมากพอ เราจะพบว่าตัวเองสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์เชิงลึกในหัวข้อเรื่องต่าง ๆ กับผู้คนจากหลากหลายวงการได้อย่างมั่นใจ


5. Self Improvement การปรับปรุงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ 


ในทุกวันที่ล่วงไป หากเราหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้พัฒนาตัวเองในด้านไหนเลย นั่นเท่ากับว่าเรากำลังก้าวถอยหลังทันที ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่จงวิ่งแข่งกับตัวเราเองเมื่อวานนี้ ทุกคนรู้ดีว่าเวลาและโอกาสไม่เคยคอยใคร แล้วเราได้พัฒนาตัวเองให้พร้อมรับกับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแค่ไหน อย่าลังเลที่จะลงมือทำในสิ่งใดก็ตาม ที่แม้แต่ตัวเราเองในอนาคต ยังอยากจะย้อนเวลากลับมาขอบคุณตัวเราเองในปัจจุบัน